Wednesday, 29 March 2023

รีวิวหนัง "Babylon" จัดจ้าน 3 ชั่วโมงเน้น ๆ กับวงการบันเทิงฮอลลิวูดยุคบุกเบิก

มาถึงคิวของหนังที่อาจพูดได้ว่า เป็นหนังที่เสียงค่อนข้างจะแตกอยู่ไม่น้อย ในกลุ่มหวังรางวัลในปีนี้ นี่คือ “Babylon” ผลงานล่าสุดของผู้กำกับหนุ่ม “เดเมียน ชาเซลล์” (จาก La La Land) ที่มีจุดเด่นตรง ที่เป็นหนังพีเรียดย้อนยุค กลับไปเมื่อร้อยปีก่อน ซ้ำยังอัดแน่นด้วยเนื้องาน ที่เต็มตาถึง 3 ชั่วโมง เทียบเท่ากับหนัง Avatar ภาคล่าสุดเลยทีเดียว แล้วตัวหนังมันมีจุดเด่นข้อด้อยตรงกันบ้าง และควรค่าแก่การนั่งแช่ ในโรงภาพยนต์นานขนาดนี้หรือเปล่า?

Babylon เป็นหนังพาย้อนกลับไปลอสแองเจลิส ในทศวรรษ 1920 เรื่องราวเกี่ยวกับความทะเยอทะยานเกินปกติ และพฤติกรรมสุดเหวี่ยงเกินพิกัด และถ่ายทอดเรื่องราวยุครุ่งเรือง แล้วก็การล่มสลายของหลากหลายตัวละคร ในช่วงยุคที่ความเสื่อมโทรม รวมทั้งความเลวทรามตอนฮอลลิวูดยุคบุกเบิกเริ่มต้น ที่เต็มไปด้วยแสงสีอันน่าหลงใหล และภาพมายาที่ลวงหลอก

Babylon ย้อนยุค

Babylon นี่ถือได้ว่าเป็นชิ้นงานภูมิใจ เสนอของเดเมียน ชาเซลล์

เขาเลยแหละ เพราะเหตุว่าเขาพยายามปลุกปั้นอยู่นานหลายปี รวมทั้งยังเป็นโปรเจกต์ หนังที่หลาย ๆ ค่ายต่างจ้องแย่งเอามาเป็นเจ้าของด้วย แน่นอน ว่าเขายังคงรับหน้าที่ดูแลงานกำกับ และเขียนบทหนังด้วยตัวเอง ซึ่ง Babylonก็ยังเต็มไปด้วยลายเซ็นชัด ๆ ในลีลาการทำหนังรูปแบบของเขา งานภาพ งานเสียง แล้วก็เซ็ตติ้งต่าง ๆ ทำออกมาได้เป็นมืออาชีพ แล้วก็ระรัวใส่ผู้ชมราวกับดีดดิ้นอยู่ ในปาร์ตี้ตลอดเวลา

ความยาวของหนังที่มีถึง 3 ชั่วโมง 9 นาที ของ Babylonนั้น ไม่ได้เป็นอุปสรรคใด ๆ ก็ตามเลย ต้องขอบคุณที่หนังมีจังหวะ การเล่าเรื่องที่บันเทิงรวมทั้งสนุกไปได้ด้วยดี มาเอื้อนพูดถึงจุดที่น่าชมเชยกันก่อน งานออกแบบโปรดักชั่นเรื่องนี้ จะต้องยกนิ้วให้ เทียบสเกลก็แทบจะเป็นหนังฟอร์มใหญ่ ระดับทุนร้อยล้านขึ้นไปได้เลย

ด้วยความที่หนังมีรายละเอียดต่าง ๆ ในหนังเพียบ งานโปรดักชั่นส่วนมากที่จะต้องเก็บรายละเอียดของยุคสมัยในช่วงสมัยปี 1920s พร้อมกับไล่ไทม์ไลน์ไปตามสมัย การออกแบบฉากรวมทั้งศิลป์ต่าง ๆ ของ Babylonทำออกมาได้ค่อนข้างน่าพอใจ สิ่งที่ถ่ายทอดออกมา ทำให้ผู้ชมละสายตา ไปกับแวดล้อมในหนังไม่ได้เลย ถึงแม้ว่าจังหวะของหนังจะฉับไว กระทั่งบางเวลาแทบจะมองไม่ทันบ้างก็ตาม แต่ส่วนประกอบส่วนนี้นับว่าสะดุดตาดี

หนังที่น่าดู

อีกสิ่งที่จะต้องปรบมือให้ดัง ๆ ก็คืองานดนตรีประกอบภาพยนตร์

ที่โดยเจ้าเดิม “จัสสิต เฮอร์วิตซ์” ที่เคยทำเพลงให้กับ La La Land มาบรรเลงและก็จุดประกายไฟอันร้อนแรงให้กับซาวน์หนังเรื่องนี้ ที่หลัง ๆ ยังคงใส่ท่วงทำนอง เครื่องเป่าสไตล์แจ๊สเอาไว้ ได้อย่างเป็นเอกลักษณ์เช่นเคย หากเป็นแฟนนักประพันธ์ท่านนี้

ก็จะสัมผัสได้ถึงลายเซ็น ในชิ้นงานของเขาได้ดี และก็เพลงประกอบต่าง ๆ ก็ดูส่งเสริมอารมณ์ของหนังได้เป็นอย่างดี ทั้งสุข ทั้งเศร้า อีกทั้งงานเลี้ยง ทั้งยังโศกนากฏกรรม ที่จัดว่ามอบซาวน์รสเลิศ ที่แสนจัดจ้าน

ในช่วงเวลาที่องค์ประกอบเสื้อผ้าหน้าผม และก็การแต่งหน้าของ Babylonเรื่องนี้ ที่นับว่าก็ทำออกมาได้ออกจะดี เพียงแต่ว่ายังไม่ได้โดดเด่น เป็นที่สุดมากนัก

เพราะเหตุว่าความละเอียดในเรื่องชุดรวมทั้งการออกแบบให้กับตัวละคนในหนังนั้น ยังแอบสัมผัสได้ถึงความร่วมสมัยอยู่เบา ๆ มิได้เน้นเก็บความเฉพาะของยุค ตามเส้นเรื่องสักเท่าไหร่ แต่ยังโชคดีที่จุดนี้ ถูกมองข้ามไป เนื่องจากว่างานโปรดักชั่นดีไซน์ ที่ตื่นตารวมทั้งตรึงใจได้ดี

ส่วนบทหนังและก็การเล่าเรื่องของ Babylon อาจจะจะต้องสารภาพตรง ๆ ว่ายังไม่ค่อยน่าประทับใจถึงที่สุดนัก อาจจะเพราะว่าเป็นว่ารายละเอียด ที่ถูกใส่มาเยอะ รวมทั้งแน่นเกินไป แม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงเจตนารมณ์ แล้วก็วัตถุประสงค์ของ เดเมียน ชาเซลล์ ที่ต้องการคาระความคลาสสิก รวมทั้งต้นตำหรับ ของแหล่งกำเนิดแวดวงภาพยนตร์ฮอลลิวูด สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อสารออกมานั้น ถือว่าชัดเจน เพียงแต่ว่าเนื้อหา ที่นำมาละเลงในหนังเรื่องนี้ ออกจะแน่นไปเสียหน่อย แม้ว่าจะยังรู้สึกชอบ แต่ก็ไม่ทราบว่า จะโฟกัสตรงไหนก่อนดี

หนัง3ชม.

จริง ๆ แล้วค่อนข้างจะรู้สึกขนลุก ไปกับบทสรุปในช่วงท้ายของหนัง

ที่เป็นการสรรเสริญความเป็น Cinematic ที่ตกทอดกันมานับร้อยปี ของแวดวงนี้ เพียงก็แอบรู้เหมือนว่าผู้ผลิตหาจุดลง ที่งดงามได้ไม่เจอ ฉากสรุปท้ายเรื่องของหนังเรื่องนี้ จึงมีทั้งอารมณ์ตื้นตัน แล้วก็มึนงงไปพร้อมเพียงกัน เนื่องจากไม่คิดว่า จะเลือกทางลงให้กับแบบนี้ ทั้งที่น่าจะมีสักทาง ที่จบได้คมคาย และก็สวยงามมากยิ่งกว่านี้

ทางด้านการแสดงของทีมนักแสดง ก็ถือว่าพวกเขาทำออกมาได้ดี ตามมาตรฐานเลย “แบรด พิตต์” ที่พระเอกที่มาช่วยพยุงทั้งเรื่องเอาไว้ ได้ด้วยความเป็นมืออาชีพของเขา “มาร์โกต์ ร็อบบี้” ใส่เสน่ห์ไปเต็ม ๆกับบทบาทที่เธอได้รับ แล้วก็ยังเล่นไปสุดทางกับตัวละครนี้

แม้ว่าบางทีอาจดูเป็นบทซ้ำ ๆ ไปหน่อย ในช่วงเวลาที่ “ดิเอโก คัลวา” เป็นหนุ่มหล่อลาตินหน้าใหม่ ที่นับว่าโปรยเสน่ห์ และเข้ากับบท ที่ได้รับอย่างดี ถึงการแสดงของเขายังต้องลับคมไปอีก

สรุปว่าโดยภาพรวมแล้วนั้น ก็แอบรู้สึกก้ำ ๆ กึ้ง ๆ กับหนังเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่อาจเอนเอียง ไปในทิศทางที่ค่อนข้างจะชอบมากยิ่งกว่า ด้วยส่วนประกอบของงานสร้างที่จัดจ้าน และก็บันเทิงได้ลึกซึ้ง

ถึงแม้ว่ายังมีบางองค์ประกอบ ที่ยังไม่ประทับใจถึงที่สุด และคิดว่าคงจะทำได้ดีมากยิ่งกว่านี้ได้อยู่ก็ตาม แต่นี่ก็คือหนัง ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่จัดจ้านตลอด 3 ชั่วโมง ที่อัดแน่น ด้วยความเนื้อใน ที่เต็มน้ำเต็มเนื้อ บางครั้งก็แทบล้นทะลักออกมา

Babylon บางทีก็อาจจะไม่ใช่หนังที่ทำออกมา ได้เหมาะสมกับผู้ชมทุกกลุ่ม ด้วยความยาวมาก ๆ ที่ไม่ใช่คนดูหนังยุคนี้ จะหาเปิดดูกันแน่ๆ แต่ว่าหนังก็โดดเด่นดีที่งานสร้าง ยิ่งถ้าหากว่าเป็นคนที่สนใจ แล้วก็คลุกคลีอยู่กับแวดวงสายหนังด้วยแรง หนังเรื่องนี้ เป็นการสดุดีแวดวงภาพยนตร์รสเลิศเรื่องหนึ่ง ย้อนกลับไปถวิลยุคเก่า ๆ ที่แทบจะลืมกันไปหมดแล้ว ถึงแม้การร้อยเรียงจะยังไม่คมคาย ถึงที่สุดนัก แต่รวม ๆ ก็ถือว่าจัดจ้านใช้ได้ ด้วยความดีความชอบจากงานสร้างล้วน ๆ เลย